Home ข้อคิด 10 สิ่งต้อง “เลิกทำ” ถ้าอยากเลี้ยงลูกให้ดีในยุคนี้ มันทำร้ายจิตใจลูก

10 สิ่งต้อง “เลิกทำ” ถ้าอยากเลี้ยงลูกให้ดีในยุคนี้ มันทำร้ายจิตใจลูก

13 second read
0
0
3,231

คนเป็นพ่อเป็นแม่มักใช้ความเป็นผู้ใหญ่มองเด็ก โดยบางครั้งก็ไม่เข้าใจว่าสิ่งที่เด็กคิดนั้นอาจเป็นอีกหนึ่งมุมมองของเขา มีหลายสิ่งหลายอย่างที่พ่อแม่อาจไม่เคยรู้ ว่าสิ่งที่ทำกับลูกในทุกวันนี้

อาจส่งผล ทําร้ า ยจิตใจลูก ได้มากที่สุด

อยากเลี้ยงลูกให้ดี เลิกทำ 10 สิ่งที่ ทำร้ายจิตใจลูก

1. เมินเฉยกับการทำดีของลูกหรือรู้สึกยินดีแบบผ่าน ๆ

ผู้ใหญ่มักมองเห็นความสำเร็จเล็ก ๆ ของลูกเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย และให้ความยินดีแค่เพียง ๆ ผ่าน แทนที่จะมองว่าผลลัพธ์ในสิ่งที่ลูกทำได้ดีนั้น จะเป็นการต่อยอดไปสู่ผลงานหรือความสำเร็จ

ที่ดีในอนาคตของเขาได้หากได้รับการส่งเสริมที่ดีจากพ่อแม่ การเมินเฉยหรือการยินดีแค่เพียง ชั่ ว ขณะอาจทำให้ลูกรู้สึกไม่มั่นใจและไม่ภาคภูมิใจกับความสำเร็จที่เกิดขึ้นได้

2.ทำร้ า ยความมั่นใจของลูก

พ่อแม่หลายคนเผลอไปทำร้ า ยความมั่นใจของลูกโดยไม่รู้ตัว เข่น การพูดถึงข้อด้อยของลูกต่อผู้อื่นหรือในที่สาธารณะ หรือการบังคับให้ลูกทำอะไรโดยที่เขายังไม่พร้อมหรือกล้า การทำแบบนี้

ของพ่อแม่จะทำให้ลูกกลายเป็นคนขาดความมั่นใจและทำร้ า ยจิตใจของลูกได้นะคะ

3. เปิดเผยความลับของลูกให้คนอื่น

แท้จริงแล้วพ่อแม่คือที่ปรึกษาที่ดีที่สุดของลูก แต่เด็กในสังคมไทยปัจจุบันกลับเลือกปรึกษาเพื่อนก่อนพ่อแม่ ซึ่งอาจจะเป็นเพราะว่าบางเรื่องพ่อแม่เห็นว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่ หรือเป็นเรื่องที่มองข้าม

ความสำคัญของลูกไป หรือแก้ปัญหาไม่ตรงจุด จนลูกมองว่าพ่อแม่ช่วยอะไรไม่ได้ แต่สาเหตุหลักคือเรื่องของความลับที่เ ด็ กไม่อยากให้คนจำนวนมากรู้ หากมีเรื่องสำคัญนั้น ร้อยละ 80 ลูกมักจะ

เลือกบอกแม่ แต่แม่ก็อาจจะนำความลับนี้ไปปรึกษาพ่อหรือคนอื่น ซึ่งการทำแบบนี้อาจทำให้เด็กเกิดความรู้สึกไม่ไหววางใจหรือเชื่อใจที่จะบอกความลับตนเอง จึงมักทำให้เกิดปัญหาตามมาทีหลังได้

4.มองข้ามการแสดงความคิดเห็นของลูก

ผู้ใหญ่มักแสดงความไม่พอใจต่อเ ด็ กที่ประพฤติตัวไม่ดี โดยอาจใช้การดุด่า ต่อว่า แต่เด็กร้อยละ 90 ไม่สามารถแสดงอาการไม่พอใจในตัวผู้ใหญ่ออกมาได้ และหากกล่าวว่าผู้ใหญ่ผิดก็ทำให้

มองว่าเป็นเ ด็ กไม่ดี ทำตัวไม่เหมาะสม ซึ่งในความเป็นจริงแล้วพ่อแม่สามารถเป็นแบบอย่างให้ลูกในการแสดงออกและเปิดใจให้กว้างต่อการฟังความคิดเห็นจากทุกคนในครอบครัว ยอมรับ

ความผิดถูกและช่วยกันแก้ปัญหา เพื่อให้ลูกกล้าแสดงออกและรู้จักที่จะยอมรับในสิ่งผิด อันจะเป็นรากฐานต่อการใช้ชีวิตในสังคมเมื่อเขาเติบโตขึ้น

5. ใช้ถ้อยคำรุนแรง ด่าว่าลูก

การใช้ถ้อยคำที่ว่ากล่าวตักเตือนเมื่อเด็กทำผิด ไม่ใช่การด่าว่า ใช้คำรุ นแ ร ง ส่อเ สี ย ด เพื่อให้เด็กกลัวหรือหลาบจำ เพราะการทำแบบนี้นอกจากจะทำให้ลูกรู้สึกไม่ดี ยังทำให้เด็กไม่มีความ

สำนึกผิด หนำซ้ำยังคิดจะทำครั้งต่อไปแบบที่ไม่ทำให้โดนจับได้เพื่อจะได้ไม่โดนด่า แถมยังเกิดการเลียนแบบถ้อยคำหย า บค า ยจากผู้ใหญ่อีกด้วย

6. นำเรื่องที่เคยทำผิดของลูกมากล่าวว่าซ้ำ ๆ

ผู้ใหญ่ส่วนมากเวลาดุเ ด็ กที่ทำผิด มักจะนำเรื่องของลูกที่เคยทำผิดมาแล้วมากล่าวว่าซ้ำ ๆ เหมือนเป็นการตอกย้ำซ้ำเติมลูกเข้าไปอีก และร้อยละ 50 ที่แสดงอาการแบบนี้จะหยุดก็ต่อเมื่อเ ด็ ก

เกิดอาการเสียใจ การทำแบบนี้ถือเป็นการกระทำที่ทำ ร้ า ยจิตใจลูกได้มาก และจะทำให้เด็กเกิดความรู้สึกเจ็บใจ โกรธ จนทำให้ลูกไม่คิดจะปรับปรุงตัวให้เป็นเด็กที่ดีขึ้นง่าย ๆ แน่

7. ใช้ความรุ นแ ร งกับลูก

หมดยุคการลงโทษโดยใช้ไ ม้เ รี ย วตีลูกเพื่อสร้างให้เป็นคนดีกันแล้ว เพราะการตีหรือใช้ความรุ นแ ร งกับเ ด็ กไม่ได้สร้างความเปลี่ยนแปลงหรือปรับนิสัยลูกให้เป็นไปตามที่พ่อแม่คาดหวังได้

แต่จะเป็นการซ้ำเติมให้ลูกมีปมภายในใจหนักขึ้นไปอีก ความรุ นแ ร งระหว่างพ่อแม่ทะเลาะกัน หรือความรุ นแ ร งที่ทำต่อลูกล้วนเป็นสิ่งที่ไม่ดี ที่ยิ่งทำให้ลูกมีอาการต่อต้านหนักขึ้น และจะ

กลายเป็นภาพจำ ทำให้ลูกกลายเป็นเด็กก้าวร้าวต่อไปได้ในอนาคต

8. อารมณ์เสียใส่ลูก

พ่อแม่ที่อารมณ์เสียหรือทะเลาะกัน บางครั้งก็มักจะอารมณ์เสียใส่ลูกโดยไม่รู้ตัว หรือพาลไปหาเรื่องลูก ลงใส่ลูก การทำแบบนี้นอกจากจะเป็นการทำร้ า ยจิตใจลูกโดยง่ายแล้ว ยังทำให้ลูกรู้สึกว่า

พ่อแม่ไม่มีเหตุผลจนไม่คิดจะเชื่อถือได้

9. ลงโทษเมื่อลูกทำผิด

พ่อแม่จำนวนมากคิดว่าการลงโทษ คือวิธีที่จะทำให้เด็กจดจำและจะไม่ทำผิดอีก แต่กลับตรงกันข้ามวิธีนี้จะทำให้ทำให้ลูกรู้สึกเสียใจ กลายเป็นเด็กที่เก็บกด และกลัวความผิดพลาดจนกลายเป็น

คนขี้ระแ ว งได้ วิธีที่ถูกต้องที่สุดคือ การปลอบเมื่อลูกทำผิดพลาด อธิบายเหตุผลว่าทำไมนี้คือสิ่งที่ลูกทำผิด จะมีผลเสียอย่างไร พร้อมทั้งแนะนำ ช่วยกันหาวิธีคิดแก้ปัญหาให้กับลูก หรือใช้วิธี

ลงโทษแบบนุ่มนวล เช่น การลงโทษแบบ time in หรือ time out

10. เอาความคิดของตัวเองเป็นหลักและไม่ใจกว้างที่จะเข้าใจลูกตัวเอง

พ่อแม่อาจจะจดวันเดือนปีเกิดของลูกได้ รู้ว่าลูกชอบกินอะไรหรือไม่ชอบอะไร ฯลฯ แต่การรู้จักลูกในสิ่งเหล่านี้ไม่ได้หมายความว่าคนเป็นพ่อแม่จะเข้าใจในสิ่งที่ลูกคิดได้ หากคุณยังต้องการให้

ลูกต้องทำนู่นนั่นนี่ในแบบที่พ่อแม่คิด โดยไม่ถามความสมัครใจหรือไม่ได้สังเกตอาการ สีหน้า ความสุข ของลูกเลย พ่อแม่ทุกคนอยากเลี้ยงลูกให้ดีที่สุด แต่นั้นก็ไม่ได้หมายความว่าจะห้ามตี ห้ามดุ

ไปเลยทีเดียว แต่ควรทำแบบพอดีไม่มากเกินไป ควรใช้เหตุผลมากกว่าอารมณ์ ใช้ความจำเป็นให้มากกว่าความต้องการ เพื่อไม่เป็นการทำร้ า ยจิตใจลูก และสร้างลูกให้เป็นคนดีต่อไปเพื่อความภูมิใจ

ของคุณพ่อคุณแม่เมื่อเขาเติบโตขึ้นมานะคะ

ขอบคุณที่มา : t h.t h e a s i a n p a r e n t .

Load More Related Articles
Load More By FahFah FahFah
Load More In ข้อคิด

Check Also

6 ความรักแบบผิดๆ ที่เผลอทำร้ายลูกโดยไม่รู้ตัว (พ่อแม่ควรรู้ไว้)

“ความรัก” มีอิทธิพลต่อพัฒนาการ และการเจริญเติบโตของลูก คุณพ่อคุณแม่ทุกคนย่อมรักและต้องการม…