1.รั ก ษ า คำพูด
ทำตามที่พูดให้ได้ ข้อนี้สำคัญที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการมาให้ตรงเวลา ส่งอีเมล์ไม่ให้ตกหล่น ปิดโปรเจ็คทันวัน เ ด ด ไ ล น์ ทำยอดทะลุเป้า หากคุณทำตามที่พูดไว้ได้ทั้งหมดคุณจะได้
รับความไว้ เ นื้ อ เชื่อใจจากเจ้านายอยู่เสมอ เผลอๆ อาจจะได้รับมอบหมายงานมากขึ้นรวมถึงตำแหน่งงานที่พุ่งขึ้นด้วย ลองคิดตามว่า สมมติคุณมีเก้าอี้ 2 ตัวตัวหนึ่งขาเป๋นั่งแล้วโยก
ไปโยกมา จะหักวันไหนก็ไม่รู้กับอีกตัวที่แข็งแร็งมั่นคง นั่งยังไงก็ไม่หักเจ้านายคุณจะเลือกนั่งตัวไหน
2.รับผิดชอบให้เป็น
จะรับผิดชอบ หรือจะเอาแต่อ้างมันต้องมีสักครั้ง ที่เราผิดคำพูดบ้าง คงไม่มีใครทำตามที่พูดได้ทุกครั้ง แต่เมื่อคุณพลาดไปแล้ว ก็จงยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้นถึงแม้ว่าข้อผิดพลาดนั้นคุณจะ
ไม่ได้ตั้งใจทำก็ตามยกตัวอย่างเช่น คุณมาประชุมสายเพราะต้องพาลูกไปหา ห ม อ แทนที่จะอ้างกับที่ประชุมว่า “ขอโทษค่ะเมื่อเช้าต้องพาลูกไปหา ห ม อ กระทันหัน กลับมาไม่ทันจริงๆ”
ลองพูดว่า “ขอโทษที่มาสายนะคะ เชิญประชุมกันต่อได้เลยค่ะ ดิฉันจะตามเก็บข้อมูล ที่ฟังไม่ทันหลังจบประชุมเองอีกทีค่ะ” แทนดูสิถ้าบอสเรียกคุณไปคุยว่าทำไมมาสายค่อยอธิบายให้
ฟังอีกครั้งและย้ำว่าคุณจะตามงานให้ทัน
3.คิดบวก พูดบวก ให้เป็นนิสัย
จะขอร้องหรือจะตำหนิ ข้อนี้เราควรฝึกให้เป็นนิสัย โดยเฉพาะเวลาอยู่กับบอสมาลองดู ข้อแตกต่างระหว่าง สองอย่างนี้กัน คำตำหนิจะบอกว่า “งานนี้ใช้ไม่ได้/คุณมันใช้ไม่ได้” ในขณะที่
คำขอร้องจะบอกว่า “ดิฉันว่าเราควรทำแบบนี้ดีกว่าค่ะ..”คำตำหนินั้น ฟังดูเหมือนเด็กๆ เอาแต่ใจ ขี้บ่น งอแง กลับกันคำขอร้องจะทำให้คุณดูน่าเชื่อถือ และดูมีเหตุมีผลมากขึ้นดังนั้นแทนที
คุณจะบ่นกับบอสคุณว่า “ฝ่ายการตลาดนี่ทำงานไม่ได้เรื่องเลย!”ลองเปลี่ยนเป็น “บอสพอจะมีความเห็นไหมคะ ว่าเราควรจะทำงาน กับฝ่ายการตลาดนี้ยังไงดี” จะฟังดูดีขึ้นทีเดียว
4.ให้ข้อเสนอแนะ
คำขอร้องข้อข้างบนว่าดีแล้ว แต่คำเสนอแนะดีกว่า! วันก่อนดิฉันมีโอกาส คุยกับ HR คนหนึ่งที่ได้ลอง ใช้วิธีเปลี่ยนคำตำหนิเป็นคำขอแทน จากตอนแรกที่จะบ่นว่า “ไม่มีใครเห็นหัวชั้นเลย
บอกให้ทำอะไรก็ไม่มีใครฟัง”แต่เธอฉุกคิดได้ว่าพูดไปก็มีแต่เสียจึงเปลี่ยนเป็น “บอสช่วยคุยกับหัวหน้าแผนกให้ทีได้ไหมคะว่ารบกวนตอบอีเมล์ และมาตามนัดดิฉันด้วย”ฟังดูดีขึ้นใช่ไหม
แต่ยังไม่ดีที่สุดสุดท้ายเธอเขียนโน้ตวิธีแก้ปัญหาของเธอให้บอส อ่ า น แทนว่า “นี่คือหน้าที่ของดิฉันในที่ทำงานนี้ ดิฉันอยากให้บอสเช็คอีกครั้งว่าถูกต้องไหม แล้วหลังจากนั้นดิฉันจะ
แจกแจงให้เหล่าหัวหน้าแผนกฟังและรับรู้โดยทั่วกัน” แบบนี้เธอได้ใจบอสไปเต็มๆ!
5.โตด้วยตัวเอง
พนักงานหลายๆคนเอาแต่รอ “เลื่อนตำแหน่ง” ไปอย่างไร้จุดหมาย สิ่งที่คุณต้องเปลี่ยน คือ คุณต้องบอกตัวเองว่าคุณเป็นเจ้านายตัวเอง กำหนดเส้นทางชีวิตตัวเองได้และรู้ว่าอยากเติบโต
ไปในทิศทางไหน แทนที่คุณจะเอาแต่รอโอกาสเลื่อนตำแหน่งแบบลมๆ แล้งๆคุณต้องคุยกับบอสตรงไปตรงมาไปเลย ชี้แจงว่าคุณสนใจทำงานในส่วนไหน และอยากจะเติบโตในตำแหน่ง
อะไร ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคุณอยากเป็นผู้จัดการลองคุยกับบอสดูว่าให้คุณเป็นคนดูแลเด็กฝึกงานดูได้ไหมหรือเสนอตัวเป็นหัวหน้าโปรเจ็คไปเลย
6.เฟรนลี่เข้าไว้
เจ้านายส่วนใหญ่ หูตาไวทั้งนั้น พวกเขาสังเกตได้ ว่าใครชอบใคร ใคร เ ก ลี ย ด ใครหากคุณแสดงให้บอสเห็นได้ว่าคุณเข้ากับทุกคนได้ดี ทำให้ทุกคนทำงานได้ง่ายขึ้นคอยช่วยเหลือคนอื่น
เสมอไม่นินทา (เจ้านาย)ไม่ก่อดราม่าในที่ทำงานทำให้เขาเห็นว่า คุณมีพลังบวกอยู่ในตัว แค่นี้ก็ชนะใจบอสไปได้ครึ่งหนึ่งแล้วเพราะอย่างน้อย เขาก็ไม่ต้องมา ป ว ด หั ว กับปัญหาหยุมหยิม
อย่างใคร เ ก ลี ย ด ใครในที่ทำงาน
7.ช่วยให้งานบอสไหลลื่น
ข้อสุดท้ายที่คุณจะทำได้ก็คือ ทำให้บอสคุณทำงานง่ายขึ้นนั่นเอง บอสส่วนใหญ่เหนื่อยหน่ายกับการที่มีลูกน้อง ที่เอาแต่คิดถึงผลประโยชน์ของตัวเอง คิดแต่บริษัทจะช่วยอะไร เค้าได้บ้าง
แต่ไม่คิดว่าตัวเองจะช่วยอะไรบริษัทได้ ในฐานะลูกน้องคุณควรจะคิดว่าจะสนับสนุนเจ้านายและบริษัทอย่างไรผู้ช่วยของดิฉันเองที่ชื่อ แดน มักจะมีไอเดียดีๆ หรือข้อเสนอดีๆให้เสมอ มันช่วย
ได้เยอะทีเดียวทำให้ดิฉันทำงานได้ง่ายขึ้นไวขึ้น การที่เขาคอยช่วยเหลือดิฉัน ทำให้ดิฉันเองก็อยากจะช่วยเหลือเขาเช่นเดียวกันสักวันนึงถ้าเมื่อคุณมาอยู่ในตำแหน่งบอสเมื่อไหร่คุณก็จะ
อยากได้ลูกน้อง แบบที่กล่าวมานี่แหละ ว่าแต่ตอนนี้ คุณมีกี่ข้อกันล่ะ ? แล้วมีอย่างอื่นอีกมั้ย ที่คุณเคยทำแล้วรู้สึกว่าบอสคุณประทับใจคุณจนออกนอกหน้านอกตา
ขอบคุณที่มา : J u n j a o n e w s