อาจารย์ Li Kaifu เคยกล่าว เอาไว้ว่า… ” ภายใน 3-5 ปีข้างหน้า บริษัทจะเริ่มทะยอยปลดพนักงานออก เพื่อลดค่าใช้จ่าย และ อีก 10 ปีข้างหน้า งานกว่า 50% ของมนุษย์จะถูกแทนที่
ด้วยหุ่นยนต์ “ ในอีกความหมายหนึ่งก็คือ.. อีกไม่กี่ปีข้างหน้า คนกว่าครึ่งหนึ่งในบริษัทจะต้องตกงาน เพราะการมาแทนที่ของหุ่นยนต์ และเทคโนโลยีต่างๆแต่ดูเหมือนว่าเรื่องเหล่านี้
จะเกิดขึ้นเร็วกว่าที่คิด เพราะในปีที่ผ่านมาเราต่างเห็น บริษัทต่างๆ ทยอยปลดพนักงานออก ลดจำนวนพนักงานเพื่อลดรายจ่าย และ ในบางแห่งเริ่มแทนที่พนักงานด้วยหุ่นยนต์ เพราะฉะนั้น
อย่าคิดว่าเรื่องเหล่านี้ เป็นเรื่องไกลตัว เพราะ ในหลายๆ ประเทศ ที่พัฒนาแล้วเริ่มทยอย ปรับโครงสร้างองค์กรครั้งใหญ่ ในไม่ช้านี้บ้านเราก็คงต้องปรับตัวตามซึ่ง คน 5 ประเภทนี้มีโอกาส
ที่จะเจอกันเหตุการณ์เหล่านี้
ประเภทที่ 1 : คนที่ทำงานแบบเดิมๆ ซ้ำๆ
พนักงานที่ต้องทำงาน แบบเดิมๆ ซ้ำๆ เช่น แพคของ ประกอบชิ้นส่วนจัดเรียงสินค้าในคลัง งานที่อาศัยแค่การจับวาง ให้เข้าที่ไม่ได้ใช้การคิด วิเคราห์หรือการตัดสินใจใดๆเรียกว่าทำงาน
ด้านเดียวคล้ายๆ หุ่นยนต์ จึงไม่แปลกเลย หากจะถูกแทนที่ ด้วยหุ่นยนต์จริงๆ เพราะ หุ่นยนต์ไม่เรียกร้องขึ้นเงินเดือน ไม่ ขาด ลา มาสายไม่บ่น ไม่หยุดงานประท้วง ไม่เรียกร้องสวัสดิการเพิ่ม
ประเภทที่ 2 : คนที่นอกเหนือจาก 8 ชั่ ว โมงไม่เรียนรู้
มีเพื่อนผมคนหนึ่ง ทำงานที่โกดังสินค้า คอยเช็คจำนวนสินค้า ในคลังเป็นงานง่ายๆ ที่เหมือนจะถูกแทนที่ด้วยหุ่นยนต์ในอนาคตแต่เมื่อทำงานปีแรกเขาก็ค้นพบว่ามีของบางอย่างที่ถูกจัดส่ง
เป็นจำนวนมาก เขาเริ่มเกิดไอเดีย จึงไปค้นหาข้อมูลต่อและพบว่าของบางอย่างในโกดัง นั้นเป็นที่ต้องการของตลาดมากด้วยความที่อยู่ในวงการนี้อยู่แล้ว ทำให้เขามองหาแหล่งผลิตที่
ต้นทุนถูกได้และ เริ่มนำมาลงหน้าเว็ปเพื่อขายออนไลน์ ผ่านไป 3 ปี ธุรกิจขยายตัวอย่างรวดเร็ว ปีที่ 7 เขาก็เปิดบริษัทของตัวเอง…!! ตลอดระยะเวลาแห่งงานเปลี่ยนแปลง สิ่งที่เขาไม่เคยหยุด
ทำก็คือ ใช้เวลานอกเหนือจาก 8 ชั่ ว โมงในการเรียนรู้ยุคสมัยนี้ เป็นยุคแห่งการเรียนรู้ ความรู้เติบโตขึ้นในอัตรา ที่ก้าวกระโดดทุกคนมีอินเตอร์เน็ต สามารถเข้าถึงความรู้ต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว
แค่ปลายนิ้วอยู่ที่ว่าคุณจะใช้โอกาสที่มีไขว่คว้า หรือ นั่งรอวันถูกแทนที่
ประเภทที่ 3 : คนที่ทำงานร่วมกับคนอื่นไม่เป็น
บริษัทต่างชาติแห่งหนึ่ง ให้เงินผู้สมัครงาน 75 บาท ให้พวกเขา ไปหาข้าวกินด้วยกัน ผู้สมัคร 6 คนไปถึงร้านอาหารด้วยกัน แต่ข้าวจานหนึ่งราคาอย่างต่ำ 15 บาท เงินที่พวกเขามีไม่พอ
จะซื้อข้าว คนละจานเลยด้วยซ้ำ ก็เลยกลับไปบริษัท พอถึงบริษัท ประธานบริษัทรู้เข้าก็ส่ายหน้า : ” ขอโทษด้วย พวกคุณไม่เหมาะกับบริษัทเรา ” รู้ไหม…? ร้านอาหารร้านนั้น มีโปรโมชั่น
ซื้อ 5 แถม 1 ไม่ได้อ่านดูรายละเอียด ในเมนูเลยหรอ นี่แสดงให้เห็นถึงความไม่ใส่ใจหรือ ถึงแม้ไม่มีโปร 5 แถม 1 ก็ยังขอจานเปล่ามาหนึ่งใบ แล้วสั่งข้าว 5 จานมาแบ่งกันกินได้ แต่ผู้สมัคร
ทั้ง 6 คนไม่มีใครคิดว่า มาด้วยกันจึงไม่เกิดคำว่า เป็นทีมเดียวกัน ทุกคนต่างคิดถึงแต่ตัวเอง เมื่อเข้ามาอยู่ในองค์กรก็ไม่รู้จักการทำงานเป็นทีม รู้ไหม…? ทีมเวิร์คที่ดีนี่แหละที่ทำให้
มนุษย์เหนือกว่าหุ่นยนต์
ประเภทที่ 4 : คนที่ไม่เข้าใจการลงทุนในตัวเอง
เรามักจะได้ยินคำเตือนว่า… ” อย่าฟุ่มเฟือย “ แต่ถ้าเราเก็บเงินได้ 1 แสนต่อปี ภายใน 10 ปี เก็บได้ 1 ล้าน นี่คือเก่งหรอ…? ไม่ใช่…! เพราะเมื่อคุณใช้เวลา 10 ปีถึงจะเก็บเงินได้ 1 ล้าน คนอื่น
อาจจะใช้เวลาแค่ปีเดียว….!!ตอนที่คุณยังเยาว์วัยคุณต้องรู้ว่าจะลงทุนกับตัวเองยังไง ถ้าทุกเดือนคุณเอาเงินส่วนหนึ่งมาลงทุนกับตัวเอง…
บางคน.. ” ออกเดินทาเที่ยวรอบโลก “ ไปเจอธุรกิจใหม่ๆ ที่น่าสนใจในต่างประเทศ แต่ในบ้านเรายังไม่มี ก็นำไอเดียกลับมา ต่อยอดเป็นธุรกิจของตัวเอง
บางคน.. ” ไปเรียนคอสการขายเสริมหลังเลิกงาน “ อาจไม่ได้รวยในทันที แต่การได้ทำความรู้จักคนมากมาย ก็นำพาโอกาสดีๆเข้ามาในชีวิตได้เหมือนกัน
บางคน.. ” ไปเข้าฟิตเนสออกกำลังกาย “ จนค้นพบ ช่องทางธุรกิจ เปิดยิม ขายอาหารเสริมสำหรับคนรัก สุ ข ภ า พ หลายปีผ่านไป
คุณจะพบว่า เงินที่คุณใช้ไป ทำให้คุณค่า ของตัวเองเพิ่มขึ้น คุณได้คืนกลับมาหลายเท่า…!!
ประเภทที่ 5 : คนมองอะไรสั้นๆ ตัดสินแค่สิ่งที่อยู่ตรงหน้าทันที
หลังเรียนจบ Li Ting และ Tan Si เข้าไปฝึกงาน ที่บริษัทบัญชี แห่งหนึ่งด้วยกัน หลังหมดระยะฝึกงาน บริษัทเสนอให้ไปศึกษางานที่สำนักงานใหญ่ ที่ต่างประเทศ 2 ปี แต่ได้เงินเดือนครึ่งเดียว
ไม่มีค่าคอมมิชชั่น Li Ting รู้สึกว่าเงินเดือนน้อยเกินไป แถมไม่คุ้นเคยกับการใช้ชีวิตในต่างแดนก็เลยไม่เอา ส่วน Tan Si กล้าตัดสินใจเลือกไปศึกษางานที่สำนักงานใหญ่ในต่างประเทศ
ในมุมมองของเธอ… ไปศึกษางานแถม ยังได้เงินเดือน เป็นเรื่องที่คุ้มแสนคุ้ม ผ่านไป 2 ปี Tan Si กลับมาที่บริษัท ในฐานะหัวหน้าโครงการคนใหม่ รายได้ 1 ล้านต่อปีส่วน Li Ting ยังคงทำงาน
ในตำแหน่งเดิม เงินเดือนในตอนนี้ ไม่ถึง 1 ใน 3 ของ Tan Siไม่ใช่ว่า Tan Si ตัดสินใจถูก หรือ Li Ting ตัดสินใจผิด เพราะทั้งคู่ต่างเลือกสิ่งที่ คิดว่าดีที่สุด ให้ตนเองแต่เมื่อเวลาที่ผ่านไปจะเป็น
เครื่องพิสูจน์ว่า การตัดสินใจของเราในอดีต จะพาเราก้าวหน้าขึ้นได้หรือไม่ เมื่อก่อนปลาเล็กกินปลาใหญ่ ตอนนี้ต้องเปลี่ยนเป็นปลาเร็วกินปลาช้า สิ่งใหม่ๆ ที่ปรากฏขึ้น มักมาพร้อมกับโอกาส
ทางธุรกิจ แต่เมื่อโอกาสผ่านไป คนที่ช้าก็จะไม่มีทางได้สัมผัสในยุคนี้ พวกเราต้องมีสัญชาตญาณ ของการเอาตัวรอด ( เราเป็นคน ไม่ใช่หุ่นยนต์ ต้องรู้จักเรียนรู้ และ ปรับตัว ) ค้นหาและแก้ไข้
ข้อบกพร่องของตัวเองอย่างทันท่วงที เพื่อที่จะพัฒนาต่อไปในทิศทาง ที่ดียิ่งขึ้นไม่อย่างนั้น ในแต่ละปีที่ผ่านไป คุณจะพบว่า คุณถูกคนอื่นๆ ทิ้งไว้ข้างหลังแล้วจะเห็นว่าตัวอย่าง ที่หยิบยกมานั้น
ไม่ได้เจาะจงถึงอาชีพใด เพราะทุกอาชีพ ล้วนมีโอกาสตกงานได้ทั้งนั้น แต่ยกตัวอย่าง ให้เห็นถึงทัศนะคติ ที่จะเป็นสิ่งตัดสินว่า คุณจะถูกแทนที่หรือได้ไปต่อ
ขอบคุณที่มา : b i t c o r e t e c h